กาแฟดำ วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
บทสนทนาที่บางขุนพรหมว่าด้วยสงครามการค้าโลก
ผมสัมภาษณ์ ดร. วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อวัดชีพจรเศรษฐกิจโลกที่มีผลกระทบต่อไทย
ที่แน่ ๆ คือท่านบอกว่าเราต้องจับตาดูเศรษฐกิจและความเคลื่อนไหวของจีนอย่างใกล้ชิดเพราะมีหลายปัจจัยแห่งความไม่แน่นอนที่สูงมาก
เริ่มด้วย IMF แสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะโตต่ำกว่าที่เคยคาดเอาไว้
ดร. วิรไทบอกว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะมีอัตราโตที่จะชะลอตัวลงมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ไม่ต้องถึงขั้นตระหนกว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเหมือนปี 2008
กูรูตะวันตกเคยทำนายว่าโลกเราจะต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงทุก 10 ปี ดังนั้น พอถึงปี 2018 ก็มีความหวั่นไหวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
แต่เอาเข้าจริง ๆ เราก็ย่างเข้าสู่ปี 2019 โดยยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดวิบากกรรมหนักหน่วงขนาดนั้น
แต่ห้ามประมาท!
IMF ประมาณการอัตราโตเศรษฐกิจโลกลดลง 0.2% แต่ก็ยังอยู่ในระดับประมาณ 3.4-3.5%
“ ซึ่งก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่มีขยายตัวดีอยู่ ” ดร. วิรไทบอก
แต่ต้องระวังผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดจากสงครามการค้า, Brexit, และต้องเกาะติดมาตรการที่รัฐบาลจีนออกมาในระยะนี้เพื่อดูแลเศรษฐกิจของตัวเองไม่ให้เกิดภาวะคลอนแคลนอย่างที่นักวิเคราะห์บางกลุ่มกลัวกันอยู่ขณะนี้
มาตรการของปักกิ่งจะมีผลอย่างไรก็ต้องดูช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต่อไปถึงปีหน้า
หากดูจากวิกฤตครั้งก่อน ๆ ปัญหาส่วนใหญ่จะมาจากความเปราะบางของสถาบันการเงินและฟองสบู่การเงิน
แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาระบบการธนาคารของโลกมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น เพราะวิกฤตครั้งที่แล้วทำให้มีการปฏิรูประบบการเงินและวางมาตรการควบคุม
สถาบันการเงินเข้มข้นมากขึ้น สามารถรับแรงปะทะต่าง ๆ ได้มากขึ้น
เรื่อง subprime และฟองสบู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์วันนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องกังวลเหมือนเมื่อสิบปีก่อน
ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนมีมากเพียงใด?
ดร. วิรไทยอมรับว่าแบ็งก์ชาติก็กังวลต่อผลจากสงครามการค้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่ แต่ก็บอกว่ายากที่จะประเมินเพราะมีทั้งผลบวกและลบ, ผลทางตรงและทางอ้อมที่มากับ supply chain หรือห่วงโซ่อุปทาน
สินค้าสองประเภทที่ไทยถูกกระทบโดยตรงเพราะสหรัฐฯออกมาตรการแซงชั่นสินค้าบางหมวดเช่นเครื่องซักผ้าและแผงโซล่าเซลล์
นอกนั้นก็มีชิ้นส่วนที่ไทยส่งไปจีนเพื่อประกอบเป็นสินค้าส่งไปอเมริกาเช่นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย เพราะช่วงปลาย ๆ ปีก็เริ่มเห็นคำสั่งซื้อลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ที่ประเมินผลกระทบยากเพราะการเจรจามีต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ เพราะเดิมวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมาจะเป็นเส้นตายที่สหรัฐฯประกาศเอาไว้ว่าจะเก็บภาษีเพิ่มรอบใหญ่กับสินค้าจีนอีกครั้ง ทำให้ทุกคนสั่งสินค้าล่วงหน้าไว้เยอะ ทำให้ตัวเลขส่งออกไตรมาส 3 ต่อไตรมาส 4 ยังสูงอยู่ แต่เมื่อมีสต๊อกเก่าไม่ระบายออก ก็ทำให้คำสั่งสินค้าใหม่ของต้นปีนี้ชะลอตัวลงอย่างมากเช่นกัน
แต่ด้านบวกก็คือสินค้าบางอย่างเช่นเคมีของไทยก็ส่งออกไปอเมริกามากขึ้นเพราะสินค้าจีนประเภทนี้ถูกกีดกันด้วยภาษีที่สูงขึ้น
ผมถามว่าบวกลบคูณหารแล้ว เป็นบวกหรือลบสำหรับไทย?
ดร. วิรไทบอกว่า “ ผมคิดว่าน่าจะเป็นผลเสียมากกว่า ”
เหตุเพราะเมื่อมีสงครามการค้าแล้วมีผลกระทบต่อกระบวนการการผลิต และ supply chain เดิม และกว่าที่ห่วงโซ่อุปทานใหม่จะเข้ามาอยู่ในระบบก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
แต่ผลบวกด้านหนึ่งก็จะเห็นการลงทุนในจีนที่ย้ายฐานมาไทยและประเทศอาเซียนอื่นมากขึ้นเพราะนักลงทุนและนักอุตสาหกรรมตระหนักแล้วว่าพวกเขาไม่ควรจะทุ่มทั้งหมดในประเทศจีนเพราะสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีนจะไม่จบง่าย ๆ
แต่การย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยก็ต้องใช้เวลา นอกจากที่ไทยมีฐานการผลิตอยู่แล้วเช่น hard disk drive และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น
ผมเห็นว่าไม่มีใครรู้ว่าหากสหรัฐฯกับจีนยังมีข้อพิพาทเรื่อง “ หัวเว่ย ” อยู่อย่างที่เห็น การเจรจาสงบศึกระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งจะลากยาวอีกเท่าไหร่
โปรดติดตามทุกย่างก้าว+